วิธีการสอนแบบบรรยาย (Lecture Method)
วิธีการสอนแบบบรรยาย(Lecture Medthod)
https://bankindy.wordpress.com ได้กล่าวไว้ว่า
วิธีการสอนแบบบรรยาย
วิธีการสอนแบบบรรยาย
ความหมาย
การบรรยาย คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการเตรียมเนื้อหาสาระ แล้วบรรยาย คือ พูด บอก เล่า อธิบายเนื้อหาสาระหรือสิ่งที่ต้องการสอนแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนซักถามแล้วประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการอย่างใด อย่างหนึ่ง (ทิศนา แขมมณี, 2547, หน้า 13)
การบรรยายเป็นวิธีถ่ายทอดความรู้ที่ใช้กันมานานในการเรียนการสอนในระดับอุดม ศึกษาเนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก สามารถสอนหรือบรรยายให้ผู้ฟังได้ทีละมากๆ โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่ต้องการนำเสนอความรู้ครั้งละมากๆ โดยใช้เวลาไม่มากนักจึงจัดเป็นวิธีสอนที่ประหยัดเวลาในการเรียนการสอนได้ เป็นอย่างดี วิธีนี้จะเหมาะสมมากหากผู้บรรยายมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ มีความรู้ในเนื้อหานั้นเป็นพิเศษ และต้องการให้ผู้ฟังได้คำอธิบายขยายความ หรือแนวคิดที่แปลกใหม่เป็นข้อมูลที่หาอ่านจากเอกสารทั่วไปไม่ได้
การบรรยายเป็นวิธีถ่ายทอดความรู้ที่ใช้กันมานานในการเรียนการสอนในระดับอุดม ศึกษาเนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก สามารถสอนหรือบรรยายให้ผู้ฟังได้ทีละมากๆ โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่ต้องการนำเสนอความรู้ครั้งละมากๆ โดยใช้เวลาไม่มากนักจึงจัดเป็นวิธีสอนที่ประหยัดเวลาในการเรียนการสอนได้ เป็นอย่างดี วิธีนี้จะเหมาะสมมากหากผู้บรรยายมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ มีความรู้ในเนื้อหานั้นเป็นพิเศษ และต้องการให้ผู้ฟังได้คำอธิบายขยายความ หรือแนวคิดที่แปลกใหม่เป็นข้อมูลที่หาอ่านจากเอกสารทั่วไปไม่ได้
วัตถุประสงค์
1. เพื่อผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่มีจำนวนมากในเวลาที่จำกัด
2. เพื่อให้ความรู้ ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน ซึ่งค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง
3. เพื่อช่วยนำทางในการศึกษาด้วยตนเอง
4. เพื่อช่วยสรุปประเด็นสำคัญ
1. เพื่อผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่มีจำนวนมากในเวลาที่จำกัด
2. เพื่อให้ความรู้ ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน ซึ่งค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง
3. เพื่อช่วยนำทางในการศึกษาด้วยตนเอง
4. เพื่อช่วยสรุปประเด็นสำคัญ
องค์ประกอบสำคัญของการสอน
1. มีเนื้อหาสาระ หรือ ข้อความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2. มีการบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย)
3. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจาการบรรยาย
1. มีเนื้อหาสาระ หรือ ข้อความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2. มีการบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย)
3. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจาการบรรยาย
ขั้นตอนสำคัญของการสอน
1. ผู้สอนเตรียมเนื้อหาสาระที่จะบรรยาย
1.1 กำหนดจุดประสงค์
1.2 ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน
1.3 เตรียมเนื้อหาสาระที่จะบรรยาย
1.4 กำหนดเค้าโครง จัดลำดับขั้นตอน
1.5 เตรียมเทคนิคการนำเสนอ
1.6 เตรียมสื่อ อุปกรณ์การสอน
1.7 เตรียมการวัดประเมินผล
2. ผู้สอนบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย ) เนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2.1 ขั้นนำ
2.2 ซักถาม
2.3 นำเสนอสิ่งเร้าที่น่าสนใจ
2.4 ทดสอบก่อนเรียน
2.5 ขั้นอธิบาย
2.6 บอกเค้าโครงเรื่อง
2.7 อธิบายตามลำดับ
2.8 ใช้สายตา ใช้สื่อ ตัวอย่าง
2.9 ระดมสมอง อภิปราย คำถาม
2.10 ขั้นสรุป
2.11 เปิดโอกาให้ผู้เรียนซักถาม
2.12 ผู้สอนสรุปเอง
2.13 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุป
3. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
3.1 ทดสอบหลังจากการบรรยาย
3.2 มอบหมายงาน
3.3 ตรวจแบบฝึกหัด
1. ผู้สอนเตรียมเนื้อหาสาระที่จะบรรยาย
1.1 กำหนดจุดประสงค์
1.2 ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน
1.3 เตรียมเนื้อหาสาระที่จะบรรยาย
1.4 กำหนดเค้าโครง จัดลำดับขั้นตอน
1.5 เตรียมเทคนิคการนำเสนอ
1.6 เตรียมสื่อ อุปกรณ์การสอน
1.7 เตรียมการวัดประเมินผล
2. ผู้สอนบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย ) เนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2.1 ขั้นนำ
2.2 ซักถาม
2.3 นำเสนอสิ่งเร้าที่น่าสนใจ
2.4 ทดสอบก่อนเรียน
2.5 ขั้นอธิบาย
2.6 บอกเค้าโครงเรื่อง
2.7 อธิบายตามลำดับ
2.8 ใช้สายตา ใช้สื่อ ตัวอย่าง
2.9 ระดมสมอง อภิปราย คำถาม
2.10 ขั้นสรุป
2.11 เปิดโอกาให้ผู้เรียนซักถาม
2.12 ผู้สอนสรุปเอง
2.13 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุป
3. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
3.1 ทดสอบหลังจากการบรรยาย
3.2 มอบหมายงาน
3.3 ตรวจแบบฝึกหัด
ลักษณะสำคัญของการสอนแบบบรรยาย พอสรุปได้ดังนี้
1. ผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน โดยการบอก เล่า หรืออธิบาย
2. ผู้เรียนเป็นฝ่ายฟัง อาจมีการจดบันทึกสาระสำคัญในขณะฟังบรรยายและอาจมีโอกาสถาม หรือแสดงความคิดเห็นบ้าง ถ้าผู้สอนเปิดโอกาส
3. มุ่งถ่ายทอดความรู้ และ/หรือ มุ่งเร้าความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆในการใช้วิธีสอนโดยใช้การบรรยายให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อ ให้การสอนแบบบรรยายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนควรมีการดำเนินการเป็น 3ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นบรรยาย และขั้นสรุปและประเมิน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ขั้นเตรียมการเตรียมการบรรยาย การบรรยายที่ดีต้องอาศัยการเตรียมการที่ดี ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาเนื้อหาสาระที่จะบรรยายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง หาก พบว่า มีจุดใดที่ตนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง หรือหากมีข้อสงสัย ควรศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างก่อน ต่อจากนั้นควรคัดเลือกว่าเนื้อหาสาระใดมีความจำเป็นหรือมีประโยชน์ต่อผู้ เรียนของตนเพียงใด เนื้อหาใดไม่จำเป็นอาจตัดออก ต่อไปควรจัดลำดับเนื้อหาสาระว่า สิ่งใดควรพูดก่อน พูดหลัง และจะเชื่อมโยงกันอย่างไร เนื้อหาสาระแต่ละส่วนมีส่วนใดที่ยังคลุมเครือ ซึ่งควรหาตัวอย่างประกอบหรือควรใช้สื่อใดช่วย และควรแสวงหาเทคนิคในการนำเสนอสาระแต่ละส่วนให้น่าสนใจ ท้าทาย ความคิด และเข้าใจได้ง่าย ซึ่งอาจจะเป็นการใช้คำถามกระตุ้น หรือการเล่าประสบการณ์ที่แปลกใหม่ หรือนำเสนอปัญหาที่ท้าทายความคิดก่อนการบรรยาย ผู้สอนควรจะมีโครงร่าง (Outline) สำหรับการบรรยาย และมีเอกสารประกอบการบรยายแจกให้แก่ผู้เรียน
การ เตรียมการเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าผู้สอนเตรียมการไว้ดีก่อนสอนก็เท่ากับการสอนครั้งนั้นก็ประสบความสำเร็จ ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในขั้นหนึ่งควรมีการวางแผนและเตรียมการสอนในสิ่งต่อไปนี้
1.1 พิจารณาและกำหนดจุดประสงค์ของการเรียนการสอนแต่ละครั้งให้ชัดเจน
1.2 ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน เกี่ยวกับความรู้ ความสามารถ ความต้องการและความสนใจแล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาวางแผนการสอนให้เหมาะ สมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
1.3 ศึกษา ค้นคว้าในเรื่องที่จะบรรยายให้กว้างขวาง จากตำรา วารสาร แหล่งวิทยาการที่เชื่อถือได้ รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองมาผสมผสานกัน
1.4 พิจารณาเชื่อมโยงของพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นของผู้เรียนที่ต้องรู้มาก่อนการฟังบรรยาย
1.5 กำหนดเค้าโครง จัดลำดับขั้นตอนของเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด
1.6 เตรียมภาษา หรือคำอธิบายที่ใช้ในการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย
1.7 เตรียมหาสิ่งที่จะช่วยให้การบรรยายมีรสชาติ เช่น เกร็ดความรู้ที่เกี่ยวข้อง การอุปมา อุปไมย ข้อมูลสถิติที่สำคัญ ผลการวิจัยหรือการค้นพบใหม่ๆ ตัวอย่าง และคำถามต่างๆ ที่จะให้ประกอบการบรรยาย
1.8 เตรียมสื่อต่างๆ ที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียนในการบรรยาย เช่น รูปภาพของจริง วีดิทัศน์ สไลด์ แผ่นโปร่งใส หรือการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์
1.9 วางแผนการจัดแบ่งเวลากับเนื้อหาให้พอดีกัน
1.10 ทดลองหรือซักซ้อมก่อนทำ การสอนจริงเพื่อให้เกิดความมั่นใจและแก้ไขข้อบกพร่อง
1.11 เตรียมวิธีการประเมินผลที่จะใช้ เช่น การสังเกต การใช้คำถาม การใช้แบบทดสอบซึ่งต้องเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า
1.12 ก่อนเวลาบรรยายควรตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ อุปกรณ์ สื่อต่างๆ ว่าพร้อมจะใช้งานหรือไม่
2. ขั้นบรรยาย
ในการบรรยายให้มีประสิทธิภาพ มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้สอนดังนี้
2.1 ทำตัวให้มีชีวิตชีวา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และความจริงจังของผู้สอน
2.2 ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้น ประหม่า หรือเครียด ควรแสดงความเป็นกันเองยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้เรียน
2.3 พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ โดยใช้เสียงที่ดังพอที่ทุกคนจะฟังได้ยินอย่างฟังชัดเจน มีความชัดถ้อยชัดคำ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป มีการแปรเปลี่ยนน้ำเสียงและจังหวะในการพูดเพื่อเน้นจุดสำคัญเพื่อให้มีความ น่าสนใจ
2.4 ใช้สายตามองผู้เรียนให้ทั่วขณะบรรยาย เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญกับผู้เรียนและเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี นอกจากนี้ยังเป็นการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่ายังมีความสนใจในการเรียน อยู่หรือไม่ ทั้งนี้จะต้องไม่มองเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ควรมองให้ทั่ว
2.5 ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการบรรยายเนื้อหาทันที ควรเริ่มด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเข้ากับเรื่อง ที่จะสอนเสียก่อน โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น การยกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง การตั้งคำถามนำให้คิด เป็นต้น
2.6 ควรบอกเค้าโครงของเรื่องที่จะบรรยาย และบอกจุดประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อน
2.7 ดำเนินการบรรยายตามลำดับเนื้อหาที่เตรียมการไว้
2.8 ควรหลีกเลี่ยงการบรรยายล้วนๆ ควรมีการถามคำถามระหว่างการบรรยาย ซึ่งอาจเป็นคำถามใน 2 ลักษณะ คือ คำถามแบบที่ผู้สอนถามคำถามแล้วหยุดให้คิดชั่วขณะแล้วผู้สอนช่วยตอบปัญหานั้น เอง และคำถามที่ผู้สอนถามและให้ผู้เรียนตอบ ซึ่งคำถามแบบหลังนี้นอกจากจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบแล้ว คำตอบที่ได้รับจะเป็นข้อมูลย้อนกลับและเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย
2.9 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียน
2.10 ควรใช้เทคนิคการสอนกลุ่มย่อยและเทคนิคอื่นๆ เช่น การระดมความคิด(Brainstorming) การอภิปรายกลุ่มย่อยที่เรียกว่า Buzz Group หรือการอภิปรายแบบหนึ่งต่อหนึ่งเป็นต้น
2.11 การใช้สื่อประกอบ เช่นใช้แผ่นใส ภาพ สไลด์ เทปเสียง วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2.12 การใช้การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนในเรื่องนั้น
3. ขั้นการปาฐกถา
ครู เป็นผู้บรรยายให้นักเรียนฟัง นักเรียนฟังครูแล้วจดบันทึกเพื่อให้เป็นที่สนใจ ครูควรใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนและมีการซักถามสลับไปด้วย พร้อมทั้งแทรกสิ่งที่ขำขันเข้าไปด้วยเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน
4. ขั้นการติดตาม
เมื่อ ครูสอนจบบทเรียน ครูจะสรุปบทเรียนให้นักเรียนฟังเป็นข้อๆ แล้วเขียนสาระสำคัญบนกระดานดำให้นักเรียนอ่านพร้อมกัน หรือ จดบันทึกเอาไว้ จากนั้นก็ให้มีการอภิปรายการซักถาม การสาธิต การลงมือปฏิบัติและการทำแบบฝึกหัด เป็นต้น ในชั้นนี้เราดูถึงความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
5. ขั้นสรุปและประเมินผล
ในการบรรยายแต่ละครั้ง ผู้สอนควรมีการสรุปสาระสำคัญของสิ่งที่ได้สอนหรือบรรยายไปโดยอาจนำเสนอบท สรุปในรูปของข้อความสั้นๆ หรือการใช้ผังมโนทัศน์ (Concept Map) ของเรื่องนั้นก็ได้ นอกจากนี้ยังควรมีการประเมินผลการสอนโดยอาจดำเนินการดังนี้
3.1 ถามคำถามให้ผู้เรียนตอบระหว่างบรรยาย หรือเมื่อบรรยายจบ
3.2 ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบ
3.3 ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติมซึ่งเป็นเรื่องของการนำความรู้ไปใช้
3.4 ให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอนของผู้สอนหลังจากจบการ บรรยายแต่ละครั้งผู้สอนควรรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้เรียนมาใช้เป็นข้อมูล ย้อนกลับเพื่อปรับปรุงการบรรยายครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
วิธีการในการบรรยายอาจแบ่งแยกได้เป็น 3 รูปแบบตามลักษณะของการเสนอเรื่องดังนี้
1. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการเน้นปัญหา
ผู้บรรยายจะเริ่มต้นด้วยการเสนอปัญหาแล้วแนะแนวทางหรือเสนอวิธีการแก้ปัญหาและปิดท้ายด้วยวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเป็นการสรุป
2. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการให้ข้อคิดเห็น ผู้บรรยายจะเสนอข้อคิดหรือความคิดเห็นหลายๆ แนวทาง
เพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นแล้วปิดท้ายด้วยวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเป็นการสรุปข้อคิดหรือความคิดเห็นและแนวทางที่เหมาะสม
3. การบรรยายในลักษณะที่เน้นการเสนอเนื้อหาความรู้ เป็นการบรรยายในชั้นเรียนทั่วไป
วิธีสอนแบบนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนระดับอุดมศึกษาหรือมัธยมศึกษาไม่เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับประถม
ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบบรรยาย1. เป็น การสอนที่เน้นเนื้อหาสาระที่นำเสนอโดยครูผู้สอน ผู้บรรยายจะเสนอปัญหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา และสรุปด้วยว่าวิธีการใดเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตามหลักการ
2. เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลายๆแนวคิดก่อนที่จะสรุปเป็นข้อคิดหรือทางเลือกที่เหมาะสม
การอภิปรายซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ก่อนยุติการบรรยายฯ ผู้บรรยายควรสรุปสาระสำคัญของการบรรยายและควรเปิดโอกาสให้ผู้ซักถาม หรือเปิดอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ต่อจากนั้นควรมีการทดสอบการเรียนในเรื่องที่บรรยายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสุ่มถามผู้เรียน หรือการให้ทำแบบทดสอบ เป็นต้น
สื่อการสอนสำหรับการเรียนการสอนแบบบรรยาย
ลักษณะ ของการเรียนการสอนแบบบรรยายนั้น ผู้สอนจะเป็นศูนย์กลาง ความสำคัญจะอยู่ที่ผู้สอน สื่อการสอนที่นำมาใช้จะมีลักษณะเป็นเครื่องช่วยสอน กล่าวคือ สื่อการสอนที่นำมาใช้จะมีลักษณะไม่สมบูรณ์ในตนเอง ผู้สอนมีหน้าที่ในการทำให้สื่อการสอนนั้นสมบูรณ์ขึ้น สื่อการสอนที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนแบบบรรยายควรมีลักษณะ
1.1 มีขนาดเหมาะสมกับห้องเรียน
1.2 ผู้เรียนสามารถมองเห็น หรือได้ยินชัดเจนทั่ว
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการสอนแบบบรรยาย1. ถ้าต้องการแจกเอกสารประกอบการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนดูประกอบและขณะบรรยาย ควรออกแบบเอกสารให้มีเฉพาะหัวข้อที่สำคัญ และมีการเว้นที่ให้ผู้เรียนบันทึกเพิ่มเติม แต่ถ้าเป็นเอกสารที่มีรายละเอียดค่อนข้างสมบูรณ์อาจแจกหลังการบรรยาย หากผู้เรียนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการแจกแจงเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะบรรยาย หลังเรียนจบอาจทำให้ผู้เรียนไม่สนใจฟังเท่าใดนักเพราะคิดว่าจะได้ข้อมูลทั้ง หมดภายหลังอยู่แล้ว ในบางกรณีอาจแจกเอกสารประกอบการบรรยายให้ไปศึกษามาล่วงหน้าซึ่งก็เหมาะกับ เนื้อหาที่มีความยากและซับซ้อน
2. ควรสำรวจบุคลิกโดยเฉพาะการแต่งกายของผู้สอนก่อนบรรยายเพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือ น่าเลื่อมใส
3. ควรสอดแทรกอารมณ์ขันในระหว่างการบรรยายจะช่วยให้บรรยากาศการเรียนการสอนมีความเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
4. ใช้กิริยาท่าทางที่เหมาะสมในการบรรยาย
5. ไม่ควรอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น ยืนอยู่จุดเดียว เดินกลับไปกลับมา ขยับแว่นตาขยับกางเกง ดูนาฬิกา พูดคำบางคำที่ตนชอบบ่อยๆ
6. อย่าใช้คำศัพท์ที่ยากเกินระดับสติปัญญาของผู้เรียน
7. ไม่ควรบรรยายติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรบรรยายให้เหมาะสมกับช่วงความสนใจของผู้เรียน เช่น ในระดับมัธยมศึกษา การบรรยายไม่ควรเกิน 20-30 นาที และในระดับอุดมศึกษาไม่ควรเกิน 45-60 นาที
8. ต้องเตรียมตัวในเนื้อหาที่จะบรรยายมาให้ดี มีความแม่นยำ เพราะถ้าสอนผิดผู้เรียนอาจเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวผู้สอนได้
ข้อดีของการสอนแบบบรรยาย
1. ประหยัดเวลา เพราะสามารถใช้กับผู้เรียนได้จำนวนมาก
2. ผู้สอนสามารถนำความรู้ที่เป็นจุดเด่นจากตำราหลายๆ เล่มมาประมวล บูรณาการไว้ด้วยกันในการบรรยาย
3. สำหรับเนื้อหายุ่งยากและซับซ้อน ผู้เรียนได้ฟังบรรยายแล้วจะเข้าใจง่ายกว่าไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่า และอาจไม่เข้าใจ
4. ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะจากผู้สอนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนดีขึ้น
5. ดำเนินการสอนได้รวดเร็ว
6. ผู้เรียนไม่ต้องทำงานมาก รับรู้เรื่องราวได้โดยตรง
7. เหมาะสมกับเนื้อหาที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน
8. ฟังการบรรยายก็เข้าใจง่ายกว่าค้นหาเอง
ข้อจำกัดของการสอนแบบบรรยาย1. ถ้าใช้บ่อยๆ โดยไม่พิจารณาความเหมาะสม อาจทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย เพราะผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
2. ไม่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ซึ่งเป็นความสามารถทางปัญญาชั้นสูง
3. ไม่ค่อยเกิดการพัฒนาด้านเจตคติและทักษะพิสัย
4. เป็นการสอนที่เน้นครูหรือผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
5. ความรู้ที่ได้รับจากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจลืมง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ถาวร
6. ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศด้วยวาทศิลป์ เพื่อมิให้ผู้ฟังสูญเสียความสนใจ
7. ครูควรแสดงท่าทางประกอบการเคลื่อนไหวบ้างพอสมควรอย่าให้มากเกินไป
8. ครูควรบรรยายจากข้อมูลไปหาข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทางด้านความคิดเป็นอย่างมาก
9. ควรมีการซักถามเด็กบ้างระหว่างที่บรรยายเช่น ให้ช่วยออกความคิดเห็นต่างๆ เป็นต้น
10. เสียงดังชัดเจนมีการเน้นสูงต่ำเป็นจังหวะ
11. ใช้ภาษาและคำพูดง่ายๆ ให้เด็กฟังแล้วเข้าใจ
12. ครูควรใช้รูปภาพหรือวัสดุอื่นประกอบคำอธิบาย
13. เป็นวิธีการสอนผู้เรียนมีบทบาทน้อยจึงทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจในการบรรยาย
14. เป็นวิธีการสอนที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคล
โอกาสที่จะใช้การสอนแบบปาฐกถาได้เหมาะ คือ
1. ใช้สำหรับนำเข้าสู่บทเรียน
2. ใช้ในตอนสรุปบทเรียน
การ บรรยายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นวิธีการที่ ปรับปรุงวิธีการสอนแบบบรรยายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกระดับชั้นเสมอมาให้ สอดคล้อง กับจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยรักษาข้อดีและข้อจำกัด ของวิธีการบรรยายในเรื่องการเตรียมเนื้อหาการบรรยายและการประเมินผล ซึ่งผู้สอนต้องเตรียมในทุกขั้นให้ดีก่อนการปฏิบัติ
นอก จากนี้ต้องให้ผู้เรียนรู้โครงสร้างรายวิชาตั้งแต่เริ่มต้นและย้ำเป็นระยะ ตลอดเทอมอาจจักสาระเพิ่มโดยพิจารณาความสนใจและความสามารถของเด็ก แต่สิ่งสำคัญต้องเตรียม syllabus อย่างละเอียดให้ผู้เรียนเปรียบเสมือนให้แผนที่เดินทางสู่จุดหมายการเรียนที่ตั้งไว้ติดตัวตลอดเส้นทางไม่หลงหรือเลือกทางเดินผิด
ขั้นต่อมาที่ต้องเตรียมงาน คือ เตรียมเอกสารการบรรยาย เพื่อให้ได้เอกสารสื่อการเรียนรู้ได้ผลดี จะต้องเตรียมการล่วงหน้าและระวังด้วยว่าอย่าเผลอจำหรืออ่านเนื้อหาสาระเหล่า นั้นเหมือนละครอ่านบทเอกสารนี้ควรทดลองเสนอในหลายรูปแบบเช่นโครงสร้าง เนื้อหา Outline แผนผังต้นไม้ Tree Diagram หรือสรุปจุดสำคัญ Major point เพื่อ ช่วยให้เข้าใจสาระสำคัญได้ดีหากจำเป็นต้องแต่งเติมให้ชัดแจ้งก็ควรทำในส่วน ของสูตรหรือหลักที่ต้องการอ้างถึงก็ต้องแยกแบ่งออกจากเนื้อหาออกมาต่างหาก รวมทั้งตัวอย่างประกอบก็ควรแยกไว้เช่นกัน อย่าลืมว่าเราใช้เอกสารเพื่อประกอบการบรรยายจึงต้องสอดคล้องกับการบรรยาย
หลักการ คือ เมื่อบรรยายให้ฟังชัดคำสั้น ศัพท์ง่าย ประโยคตรง ชี้จุดและสรุปย้ำเนื้อหา เอกสารก็ควรเสริมส่วนที่อาจขาดไปหรือเข้าใจยากนั่นเอง
การซ้อมบรรยายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เพื่อประเมินดูว่าเตรียมเนื้อหาไว้เหมาะหรือไม่ อาจลองดูสัก 1-2 ครั้ง เพราะอาจมีปัญหา เช่น เนื้อหานั้นมากเกินเวลาที่มีหรือจัดลำดับเรื่องไม่สอดคล้องกันจริงประเด็น สุดท้ายหลังเตรียมเนื้อหาดีแล้ว คือ จะต้องจัดโครงสร้างการบรรยายตามเนื้อหาที่มี โดยตัดสินใจว่าเราจะต้องบรรยายให้ยากหรือง่ายเพียงไร เขียนกำหนดแก่น (Theme) ของ เนื้อหาและเหตุผลก่อนจะจัดกระบวนการบรรยายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า เหตุทำให้เกิดผลอย่างไรโดยต้องกำหนดโครงสร้างการบรรยายให้เข้าใจเนื้อหาที่ สำคัญที่สุดให้ง่าย ๆ และจัดแบ่งการบรรยายเป็นช่วงละ 10-15 นาที
ทั้งนี้ ตามหลักจิตวิทยาช่วงความสนใจของผู้เรียนจะอยู่ระหว่าง 10-20 นาที ในขณะที่คาบเรียนทั่วไปถูกกำหนด ไว้ 50 นาทีดังนั้นหากจัดการเวลาให้ได้ดี การบรรยายจะไม่กลายเป็นการร่ายยาวและผู้เรียนจะยังสนใจอยู่ได้ทั้งคาบ
การ จัดโครงสร้างต้องไม่ละเลยข้อสำคัญ ช่วงท้ายของการบรรยายคือ ต้องจัดให้ผู้บรรยายมีเวลาตอบคำถามผู้ฟังเพื่อแก้ไขข้อข้องใจในเนื้อหาจน กระจ่างหรือแนะแนวทางค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองต่อไปอีกนอกจากนี้ต้องเวลา เพื่อสรุปเนื้อหา เชื่อมโยงจากต้นเรื่องที่เริ่มบรรยาย มาสู่ตอนจบด้วย
เมื่อมีทั้งเนื้อหาโครงสร้างการบรรยายพร้อมก็มาเตรียมการนำเสนอ ใน ขั้นนี้สิ่งสำคัญคือตัวผู้บรรยาย จะต้องพร้อมเสนอเพื่อให้ผู้เรียนสนองตอบ ผู้เรียนย่อมจะสนใจผู้บรรยายที่มีชื่อเสียง เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ หรือครูผู้สอนที่มีคุณวุฒิและบุคลิกภาพน่าสนใจ สะท้อนถึงความรู้ความสามารถน่าเชื่อถือ
1. ผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน โดยการบอก เล่า หรืออธิบาย
2. ผู้เรียนเป็นฝ่ายฟัง อาจมีการจดบันทึกสาระสำคัญในขณะฟังบรรยายและอาจมีโอกาสถาม หรือแสดงความคิดเห็นบ้าง ถ้าผู้สอนเปิดโอกาส
3. มุ่งถ่ายทอดความรู้ และ/หรือ มุ่งเร้าความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆในการใช้วิธีสอนโดยใช้การบรรยายให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อ ให้การสอนแบบบรรยายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนควรมีการดำเนินการเป็น 3ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นบรรยาย และขั้นสรุปและประเมิน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ขั้นเตรียมการเตรียมการบรรยาย การบรรยายที่ดีต้องอาศัยการเตรียมการที่ดี ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาเนื้อหาสาระที่จะบรรยายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง หาก พบว่า มีจุดใดที่ตนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง หรือหากมีข้อสงสัย ควรศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างก่อน ต่อจากนั้นควรคัดเลือกว่าเนื้อหาสาระใดมีความจำเป็นหรือมีประโยชน์ต่อผู้ เรียนของตนเพียงใด เนื้อหาใดไม่จำเป็นอาจตัดออก ต่อไปควรจัดลำดับเนื้อหาสาระว่า สิ่งใดควรพูดก่อน พูดหลัง และจะเชื่อมโยงกันอย่างไร เนื้อหาสาระแต่ละส่วนมีส่วนใดที่ยังคลุมเครือ ซึ่งควรหาตัวอย่างประกอบหรือควรใช้สื่อใดช่วย และควรแสวงหาเทคนิคในการนำเสนอสาระแต่ละส่วนให้น่าสนใจ ท้าทาย ความคิด และเข้าใจได้ง่าย ซึ่งอาจจะเป็นการใช้คำถามกระตุ้น หรือการเล่าประสบการณ์ที่แปลกใหม่ หรือนำเสนอปัญหาที่ท้าทายความคิดก่อนการบรรยาย ผู้สอนควรจะมีโครงร่าง (Outline) สำหรับการบรรยาย และมีเอกสารประกอบการบรยายแจกให้แก่ผู้เรียน
การ เตรียมการเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าผู้สอนเตรียมการไว้ดีก่อนสอนก็เท่ากับการสอนครั้งนั้นก็ประสบความสำเร็จ ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในขั้นหนึ่งควรมีการวางแผนและเตรียมการสอนในสิ่งต่อไปนี้
1.1 พิจารณาและกำหนดจุดประสงค์ของการเรียนการสอนแต่ละครั้งให้ชัดเจน
1.2 ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน เกี่ยวกับความรู้ ความสามารถ ความต้องการและความสนใจแล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาวางแผนการสอนให้เหมาะ สมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
1.3 ศึกษา ค้นคว้าในเรื่องที่จะบรรยายให้กว้างขวาง จากตำรา วารสาร แหล่งวิทยาการที่เชื่อถือได้ รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองมาผสมผสานกัน
1.4 พิจารณาเชื่อมโยงของพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นของผู้เรียนที่ต้องรู้มาก่อนการฟังบรรยาย
1.5 กำหนดเค้าโครง จัดลำดับขั้นตอนของเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด
1.6 เตรียมภาษา หรือคำอธิบายที่ใช้ในการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย
1.7 เตรียมหาสิ่งที่จะช่วยให้การบรรยายมีรสชาติ เช่น เกร็ดความรู้ที่เกี่ยวข้อง การอุปมา อุปไมย ข้อมูลสถิติที่สำคัญ ผลการวิจัยหรือการค้นพบใหม่ๆ ตัวอย่าง และคำถามต่างๆ ที่จะให้ประกอบการบรรยาย
1.8 เตรียมสื่อต่างๆ ที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียนในการบรรยาย เช่น รูปภาพของจริง วีดิทัศน์ สไลด์ แผ่นโปร่งใส หรือการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์
1.9 วางแผนการจัดแบ่งเวลากับเนื้อหาให้พอดีกัน
1.10 ทดลองหรือซักซ้อมก่อนทำ การสอนจริงเพื่อให้เกิดความมั่นใจและแก้ไขข้อบกพร่อง
1.11 เตรียมวิธีการประเมินผลที่จะใช้ เช่น การสังเกต การใช้คำถาม การใช้แบบทดสอบซึ่งต้องเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า
1.12 ก่อนเวลาบรรยายควรตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ อุปกรณ์ สื่อต่างๆ ว่าพร้อมจะใช้งานหรือไม่
2. ขั้นบรรยาย
ในการบรรยายให้มีประสิทธิภาพ มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้สอนดังนี้
2.1 ทำตัวให้มีชีวิตชีวา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และความจริงจังของผู้สอน
2.2 ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้น ประหม่า หรือเครียด ควรแสดงความเป็นกันเองยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้เรียน
2.3 พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ โดยใช้เสียงที่ดังพอที่ทุกคนจะฟังได้ยินอย่างฟังชัดเจน มีความชัดถ้อยชัดคำ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป มีการแปรเปลี่ยนน้ำเสียงและจังหวะในการพูดเพื่อเน้นจุดสำคัญเพื่อให้มีความ น่าสนใจ
2.4 ใช้สายตามองผู้เรียนให้ทั่วขณะบรรยาย เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญกับผู้เรียนและเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี นอกจากนี้ยังเป็นการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่ายังมีความสนใจในการเรียน อยู่หรือไม่ ทั้งนี้จะต้องไม่มองเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ควรมองให้ทั่ว
2.5 ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการบรรยายเนื้อหาทันที ควรเริ่มด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเข้ากับเรื่อง ที่จะสอนเสียก่อน โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น การยกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง การตั้งคำถามนำให้คิด เป็นต้น
2.6 ควรบอกเค้าโครงของเรื่องที่จะบรรยาย และบอกจุดประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อน
2.7 ดำเนินการบรรยายตามลำดับเนื้อหาที่เตรียมการไว้
2.8 ควรหลีกเลี่ยงการบรรยายล้วนๆ ควรมีการถามคำถามระหว่างการบรรยาย ซึ่งอาจเป็นคำถามใน 2 ลักษณะ คือ คำถามแบบที่ผู้สอนถามคำถามแล้วหยุดให้คิดชั่วขณะแล้วผู้สอนช่วยตอบปัญหานั้น เอง และคำถามที่ผู้สอนถามและให้ผู้เรียนตอบ ซึ่งคำถามแบบหลังนี้นอกจากจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบแล้ว คำตอบที่ได้รับจะเป็นข้อมูลย้อนกลับและเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย
2.9 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียน
2.10 ควรใช้เทคนิคการสอนกลุ่มย่อยและเทคนิคอื่นๆ เช่น การระดมความคิด(Brainstorming) การอภิปรายกลุ่มย่อยที่เรียกว่า Buzz Group หรือการอภิปรายแบบหนึ่งต่อหนึ่งเป็นต้น
2.11 การใช้สื่อประกอบ เช่นใช้แผ่นใส ภาพ สไลด์ เทปเสียง วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2.12 การใช้การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนในเรื่องนั้น
3. ขั้นการปาฐกถา
ครู เป็นผู้บรรยายให้นักเรียนฟัง นักเรียนฟังครูแล้วจดบันทึกเพื่อให้เป็นที่สนใจ ครูควรใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนและมีการซักถามสลับไปด้วย พร้อมทั้งแทรกสิ่งที่ขำขันเข้าไปด้วยเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน
4. ขั้นการติดตาม
เมื่อ ครูสอนจบบทเรียน ครูจะสรุปบทเรียนให้นักเรียนฟังเป็นข้อๆ แล้วเขียนสาระสำคัญบนกระดานดำให้นักเรียนอ่านพร้อมกัน หรือ จดบันทึกเอาไว้ จากนั้นก็ให้มีการอภิปรายการซักถาม การสาธิต การลงมือปฏิบัติและการทำแบบฝึกหัด เป็นต้น ในชั้นนี้เราดูถึงความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
5. ขั้นสรุปและประเมินผล
ในการบรรยายแต่ละครั้ง ผู้สอนควรมีการสรุปสาระสำคัญของสิ่งที่ได้สอนหรือบรรยายไปโดยอาจนำเสนอบท สรุปในรูปของข้อความสั้นๆ หรือการใช้ผังมโนทัศน์ (Concept Map) ของเรื่องนั้นก็ได้ นอกจากนี้ยังควรมีการประเมินผลการสอนโดยอาจดำเนินการดังนี้
3.1 ถามคำถามให้ผู้เรียนตอบระหว่างบรรยาย หรือเมื่อบรรยายจบ
3.2 ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบ
3.3 ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติมซึ่งเป็นเรื่องของการนำความรู้ไปใช้
3.4 ให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอนของผู้สอนหลังจากจบการ บรรยายแต่ละครั้งผู้สอนควรรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้เรียนมาใช้เป็นข้อมูล ย้อนกลับเพื่อปรับปรุงการบรรยายครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
วิธีการในการบรรยายอาจแบ่งแยกได้เป็น 3 รูปแบบตามลักษณะของการเสนอเรื่องดังนี้
1. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการเน้นปัญหา
ผู้บรรยายจะเริ่มต้นด้วยการเสนอปัญหาแล้วแนะแนวทางหรือเสนอวิธีการแก้ปัญหาและปิดท้ายด้วยวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเป็นการสรุป
2. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการให้ข้อคิดเห็น ผู้บรรยายจะเสนอข้อคิดหรือความคิดเห็นหลายๆ แนวทาง
เพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นแล้วปิดท้ายด้วยวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเป็นการสรุปข้อคิดหรือความคิดเห็นและแนวทางที่เหมาะสม
3. การบรรยายในลักษณะที่เน้นการเสนอเนื้อหาความรู้ เป็นการบรรยายในชั้นเรียนทั่วไป
วิธีสอนแบบนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนระดับอุดมศึกษาหรือมัธยมศึกษาไม่เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับประถม
ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบบรรยาย1. เป็น การสอนที่เน้นเนื้อหาสาระที่นำเสนอโดยครูผู้สอน ผู้บรรยายจะเสนอปัญหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา และสรุปด้วยว่าวิธีการใดเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตามหลักการ
2. เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลายๆแนวคิดก่อนที่จะสรุปเป็นข้อคิดหรือทางเลือกที่เหมาะสม
การอภิปรายซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ก่อนยุติการบรรยายฯ ผู้บรรยายควรสรุปสาระสำคัญของการบรรยายและควรเปิดโอกาสให้ผู้ซักถาม หรือเปิดอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ต่อจากนั้นควรมีการทดสอบการเรียนในเรื่องที่บรรยายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสุ่มถามผู้เรียน หรือการให้ทำแบบทดสอบ เป็นต้น
สื่อการสอนสำหรับการเรียนการสอนแบบบรรยาย
ลักษณะ ของการเรียนการสอนแบบบรรยายนั้น ผู้สอนจะเป็นศูนย์กลาง ความสำคัญจะอยู่ที่ผู้สอน สื่อการสอนที่นำมาใช้จะมีลักษณะเป็นเครื่องช่วยสอน กล่าวคือ สื่อการสอนที่นำมาใช้จะมีลักษณะไม่สมบูรณ์ในตนเอง ผู้สอนมีหน้าที่ในการทำให้สื่อการสอนนั้นสมบูรณ์ขึ้น สื่อการสอนที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนแบบบรรยายควรมีลักษณะ
1.1 มีขนาดเหมาะสมกับห้องเรียน
1.2 ผู้เรียนสามารถมองเห็น หรือได้ยินชัดเจนทั่ว
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการสอนแบบบรรยาย1. ถ้าต้องการแจกเอกสารประกอบการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนดูประกอบและขณะบรรยาย ควรออกแบบเอกสารให้มีเฉพาะหัวข้อที่สำคัญ และมีการเว้นที่ให้ผู้เรียนบันทึกเพิ่มเติม แต่ถ้าเป็นเอกสารที่มีรายละเอียดค่อนข้างสมบูรณ์อาจแจกหลังการบรรยาย หากผู้เรียนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการแจกแจงเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะบรรยาย หลังเรียนจบอาจทำให้ผู้เรียนไม่สนใจฟังเท่าใดนักเพราะคิดว่าจะได้ข้อมูลทั้ง หมดภายหลังอยู่แล้ว ในบางกรณีอาจแจกเอกสารประกอบการบรรยายให้ไปศึกษามาล่วงหน้าซึ่งก็เหมาะกับ เนื้อหาที่มีความยากและซับซ้อน
2. ควรสำรวจบุคลิกโดยเฉพาะการแต่งกายของผู้สอนก่อนบรรยายเพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือ น่าเลื่อมใส
3. ควรสอดแทรกอารมณ์ขันในระหว่างการบรรยายจะช่วยให้บรรยากาศการเรียนการสอนมีความเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
4. ใช้กิริยาท่าทางที่เหมาะสมในการบรรยาย
5. ไม่ควรอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น ยืนอยู่จุดเดียว เดินกลับไปกลับมา ขยับแว่นตาขยับกางเกง ดูนาฬิกา พูดคำบางคำที่ตนชอบบ่อยๆ
6. อย่าใช้คำศัพท์ที่ยากเกินระดับสติปัญญาของผู้เรียน
7. ไม่ควรบรรยายติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรบรรยายให้เหมาะสมกับช่วงความสนใจของผู้เรียน เช่น ในระดับมัธยมศึกษา การบรรยายไม่ควรเกิน 20-30 นาที และในระดับอุดมศึกษาไม่ควรเกิน 45-60 นาที
8. ต้องเตรียมตัวในเนื้อหาที่จะบรรยายมาให้ดี มีความแม่นยำ เพราะถ้าสอนผิดผู้เรียนอาจเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวผู้สอนได้
ข้อดีของการสอนแบบบรรยาย
1. ประหยัดเวลา เพราะสามารถใช้กับผู้เรียนได้จำนวนมาก
2. ผู้สอนสามารถนำความรู้ที่เป็นจุดเด่นจากตำราหลายๆ เล่มมาประมวล บูรณาการไว้ด้วยกันในการบรรยาย
3. สำหรับเนื้อหายุ่งยากและซับซ้อน ผู้เรียนได้ฟังบรรยายแล้วจะเข้าใจง่ายกว่าไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่า และอาจไม่เข้าใจ
4. ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะจากผู้สอนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนดีขึ้น
5. ดำเนินการสอนได้รวดเร็ว
6. ผู้เรียนไม่ต้องทำงานมาก รับรู้เรื่องราวได้โดยตรง
7. เหมาะสมกับเนื้อหาที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน
8. ฟังการบรรยายก็เข้าใจง่ายกว่าค้นหาเอง
ข้อจำกัดของการสอนแบบบรรยาย1. ถ้าใช้บ่อยๆ โดยไม่พิจารณาความเหมาะสม อาจทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย เพราะผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
2. ไม่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ซึ่งเป็นความสามารถทางปัญญาชั้นสูง
3. ไม่ค่อยเกิดการพัฒนาด้านเจตคติและทักษะพิสัย
4. เป็นการสอนที่เน้นครูหรือผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
5. ความรู้ที่ได้รับจากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจลืมง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ถาวร
6. ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศด้วยวาทศิลป์ เพื่อมิให้ผู้ฟังสูญเสียความสนใจ
7. ครูควรแสดงท่าทางประกอบการเคลื่อนไหวบ้างพอสมควรอย่าให้มากเกินไป
8. ครูควรบรรยายจากข้อมูลไปหาข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทางด้านความคิดเป็นอย่างมาก
9. ควรมีการซักถามเด็กบ้างระหว่างที่บรรยายเช่น ให้ช่วยออกความคิดเห็นต่างๆ เป็นต้น
10. เสียงดังชัดเจนมีการเน้นสูงต่ำเป็นจังหวะ
11. ใช้ภาษาและคำพูดง่ายๆ ให้เด็กฟังแล้วเข้าใจ
12. ครูควรใช้รูปภาพหรือวัสดุอื่นประกอบคำอธิบาย
13. เป็นวิธีการสอนผู้เรียนมีบทบาทน้อยจึงทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจในการบรรยาย
14. เป็นวิธีการสอนที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคล
โอกาสที่จะใช้การสอนแบบปาฐกถาได้เหมาะ คือ
1. ใช้สำหรับนำเข้าสู่บทเรียน
2. ใช้ในตอนสรุปบทเรียน
การ บรรยายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นวิธีการที่ ปรับปรุงวิธีการสอนแบบบรรยายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกระดับชั้นเสมอมาให้ สอดคล้อง กับจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยรักษาข้อดีและข้อจำกัด ของวิธีการบรรยายในเรื่องการเตรียมเนื้อหาการบรรยายและการประเมินผล ซึ่งผู้สอนต้องเตรียมในทุกขั้นให้ดีก่อนการปฏิบัติ
นอก จากนี้ต้องให้ผู้เรียนรู้โครงสร้างรายวิชาตั้งแต่เริ่มต้นและย้ำเป็นระยะ ตลอดเทอมอาจจักสาระเพิ่มโดยพิจารณาความสนใจและความสามารถของเด็ก แต่สิ่งสำคัญต้องเตรียม syllabus อย่างละเอียดให้ผู้เรียนเปรียบเสมือนให้แผนที่เดินทางสู่จุดหมายการเรียนที่ตั้งไว้ติดตัวตลอดเส้นทางไม่หลงหรือเลือกทางเดินผิด
ขั้นต่อมาที่ต้องเตรียมงาน คือ เตรียมเอกสารการบรรยาย เพื่อให้ได้เอกสารสื่อการเรียนรู้ได้ผลดี จะต้องเตรียมการล่วงหน้าและระวังด้วยว่าอย่าเผลอจำหรืออ่านเนื้อหาสาระเหล่า นั้นเหมือนละครอ่านบทเอกสารนี้ควรทดลองเสนอในหลายรูปแบบเช่นโครงสร้าง เนื้อหา Outline แผนผังต้นไม้ Tree Diagram หรือสรุปจุดสำคัญ Major point เพื่อ ช่วยให้เข้าใจสาระสำคัญได้ดีหากจำเป็นต้องแต่งเติมให้ชัดแจ้งก็ควรทำในส่วน ของสูตรหรือหลักที่ต้องการอ้างถึงก็ต้องแยกแบ่งออกจากเนื้อหาออกมาต่างหาก รวมทั้งตัวอย่างประกอบก็ควรแยกไว้เช่นกัน อย่าลืมว่าเราใช้เอกสารเพื่อประกอบการบรรยายจึงต้องสอดคล้องกับการบรรยาย
หลักการ คือ เมื่อบรรยายให้ฟังชัดคำสั้น ศัพท์ง่าย ประโยคตรง ชี้จุดและสรุปย้ำเนื้อหา เอกสารก็ควรเสริมส่วนที่อาจขาดไปหรือเข้าใจยากนั่นเอง
การซ้อมบรรยายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เพื่อประเมินดูว่าเตรียมเนื้อหาไว้เหมาะหรือไม่ อาจลองดูสัก 1-2 ครั้ง เพราะอาจมีปัญหา เช่น เนื้อหานั้นมากเกินเวลาที่มีหรือจัดลำดับเรื่องไม่สอดคล้องกันจริงประเด็น สุดท้ายหลังเตรียมเนื้อหาดีแล้ว คือ จะต้องจัดโครงสร้างการบรรยายตามเนื้อหาที่มี โดยตัดสินใจว่าเราจะต้องบรรยายให้ยากหรือง่ายเพียงไร เขียนกำหนดแก่น (Theme) ของ เนื้อหาและเหตุผลก่อนจะจัดกระบวนการบรรยายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า เหตุทำให้เกิดผลอย่างไรโดยต้องกำหนดโครงสร้างการบรรยายให้เข้าใจเนื้อหาที่ สำคัญที่สุดให้ง่าย ๆ และจัดแบ่งการบรรยายเป็นช่วงละ 10-15 นาที
ทั้งนี้ ตามหลักจิตวิทยาช่วงความสนใจของผู้เรียนจะอยู่ระหว่าง 10-20 นาที ในขณะที่คาบเรียนทั่วไปถูกกำหนด ไว้ 50 นาทีดังนั้นหากจัดการเวลาให้ได้ดี การบรรยายจะไม่กลายเป็นการร่ายยาวและผู้เรียนจะยังสนใจอยู่ได้ทั้งคาบ
การ จัดโครงสร้างต้องไม่ละเลยข้อสำคัญ ช่วงท้ายของการบรรยายคือ ต้องจัดให้ผู้บรรยายมีเวลาตอบคำถามผู้ฟังเพื่อแก้ไขข้อข้องใจในเนื้อหาจน กระจ่างหรือแนะแนวทางค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองต่อไปอีกนอกจากนี้ต้องเวลา เพื่อสรุปเนื้อหา เชื่อมโยงจากต้นเรื่องที่เริ่มบรรยาย มาสู่ตอนจบด้วย
เมื่อมีทั้งเนื้อหาโครงสร้างการบรรยายพร้อมก็มาเตรียมการนำเสนอ ใน ขั้นนี้สิ่งสำคัญคือตัวผู้บรรยาย จะต้องพร้อมเสนอเพื่อให้ผู้เรียนสนองตอบ ผู้เรียนย่อมจะสนใจผู้บรรยายที่มีชื่อเสียง เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ หรือครูผู้สอนที่มีคุณวุฒิและบุคลิกภาพน่าสนใจ สะท้อนถึงความรู้ความสามารถน่าเชื่อถือ
https://sixzoda.wordpress.com(2554) ได้กล่าวไว้ว่า
วิธีการสอนแบบบรรยาย(Lecture)
(ทิศนา แขมมณี,2544,หน้า13)
ได้ให้ความหมายไว้ว่า
การบรรยายคือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
โดยการเตรียมเนื้อหาสาระแล้วบรรยาย คือ พูด บอกเล่า อธิบายเนื้อหาสาระหรือสิ่งที่ต้องการสอนแก้ผู้เรียน
ให้ผู้เรียนซักถามแล้วประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
วัตถุประสงค์
•เพื่อผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่มีจำนวนมากในเวลาที่จำกัด
•เพื่อให้ความรู้ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน
ซึ่งค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง
•เพื่อช่วยนำทางในการศึกษาด้วยตนเอง
•เพื่อช่วยสรุปประเด็นสำคัญ
องค์ประกอบสำคัญของการสอน
•มีเนื้อหาสาระหรือข้อความที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
•มีการบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย)
•มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากการบรรยาย
ขั้นตอนการสอน
1.
ขั้นเตรียมการสอน ประกอบด้วย
1.1
วินิจฉัยผู้เรียน โดยพิจารณาถึงพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์เดิม
ความสามารถของผู้เรียน อาจใช้วิธีพูดคุย ซักถาม
หรือแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการเตรียมเนื้อหาและวิธีการสอน
1.2
เตรียมเนื้อหา โดยพิจารณาถึงความละเอียด ลึกซึ้ง มากน้อย
และตามลำดับของเนื้อหา ให้เหมาะสมกับเวลาและลักษณะของผู้เรียน
1.3
เตรียมคำถาม เพื่อใช้ถามผู้เรียนระหว่างการบรรยาย
จะช่วยให้ผู้เรียนตื่นตัวและสนใจได้ดีขึ้น
1.4
เตรียมสื่อการเรียนการสอน โดยเตรียมสื่อให้พร้อมอยู่ในสภาพใช้การได้ดี
อาจเป็น สไลด์ แผ่นใส ภาพ ฯลฯจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น
1.5
ขั้นเตรียมการวัดและประเมินผล อาจจัดทำเป็นการทดสอบหลังเรียน
เพื่อวัดดูว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่
หรือมากน้อยเพียงไร
2.
ขั้นสอน ประกอบด้วย
2.1 ขั้นนำ อาจใช้วิธี
1)
ซักถามพูดคุยกับผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเรียน
2)
ทบทวนการบรรยายในครั้งก่อนเพื่อเชื่อมโยงกับเรื่องใหม่
1.2
ขั้นอธิบาย เป็นขั้นสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
ผู้สอนควรได้ดำเนินการ ดังนี้
1)
บอกโครงเรื่อง เครือข่ายของเนื้อหา และแจ้งจุดประสงค์ของบทเรียน
2)
อธิบายให้ชัดเจนตามลำดับเนื้อหาอย่างต่อเนื่องกัน
3)
สังเกตปฏิกิริยาตลอดเวลาเพื่อการย้ำหรือหยุดทบทวนใหม่
4)
ถามคำถามในบางตอนเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
5)
ยกตัวอย่างประกอบ เพื่อเพิ่มความแจ่มแจ้งในบทเรียน
6)
ใช้น้ำเสียง บุคลิกภาพ ท่าทีการพูดอธิบาย การใช้ภาษา อารมณ์ขันที่เหมาะสม
1.3
ขั้นสรุป เป็นการปิดท้ายชั่วโมงการบรรยาย อาจใช้วิธี
1)
สรุปโยงเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ
2)
ตั้งปัญหาให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ วิจารณ์
3)
ฝากปัญหาให้ผู้เรียนไปคิดต่อ
4)
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามปัญหา
5)
มอบหมายงานให้ผู้เรียนไปค้นคว้าต่อเพิ่มเติม
6)
บอกล่วงหน้าถึงเนื้อหาที่จะเรียนในครั้งต่อไป
3. ขั้นติดตามผล ประกอบด้วย
3.1วัดและประเมินผลผู้เรียน โดยอาจใช้วิธี
1)
ตรวจสมุดบันทึกที่ผู้เรียนจดบรรยาย
2)
ถามคำถามในเนื้อหาที่บรรยาย
3)
ให้ทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดเพิ่มเติม
3.2วัดผล ประเมินผลผู้สอน โดยอาจใช้วิธี
1)
จัดทำแบบสอบถามให้ผู้เรียนได้ทราบความคิดเห็น เกี่ยวกับวิธีการสอน
การอธิบาย การใช้น้ำเสียง บุคลิกท่าทาง
2)
ให้เพื่อนครูได้เข้าสังเกตการณ์สอน แล้วให้ข้อเสนอแนะเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการสอน
3)
บันทึกการบันยายของตนแล้วนำไปพิจารณา ประเมินตนเอง
ข้อดีและข้อจำกัดของการบรรยาย
ข้อดี
1.ใช้สอนกับผู้เรียนจำนวนมาก
2.สะดวกในการให้เนื้อหาทางทฤษฎี
3.ผู้สอนดำเนินการคนเดียวได้ทั้งการควบคุมชั้นเรียนและการสอน
4.ส่งเสริมทักษะการย่อความและเขียนบันทึก
ข้อจำกัด
1.ไม่คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน
เพราะต้องรับรู้เรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกัน
2.ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น
ทำให้ขาดโอกาสฝึกความคิดสร้างสรรค์
3.เหมาะกับการสอนระดับอุดมศึกษา
ซึ่งผู้เรียนมีความสนใจในการฟังช่วงยาว ไม่เหมาะกับการสอนในระดับประถมศึกษา
ซึ่งผู้เรียน มีช่วงความจำสั้น
การสอนแบบบรรยาย
ความหมาย
การบรรยาย คือ
กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
โดยการเตรียมเนื้อหาสาระ แล้วบรรยาย คือ พูด บอก เล่า
อธิบายเนื้อหาสาระหรือสิ่งที่ต้องการสอนแก่ผู้เรียน
ให้ผู้เรียนซักถามแล้วประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
การบรรยายเป็นวิธีถ่ายทอดความรู้ที่ใช้กันมานานในการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาเนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก
สามารถสอนหรือบรรยายให้ผู้ฟังได้ทีละมากๆ
โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่ต้องการนำเสนอความรู้ครั้งละมากๆ
โดยใช้เวลาไม่มากนักจึงจัดเป็นวิธีสอนที่ประหยัดเวลาในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี
วิธีนี้จะเหมาะสมมากหากผู้บรรยายมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์
มีความรู้ในเนื้อหานั้นเป็นพิเศษ และต้องการให้ผู้ฟังได้คำอธิบายขยายความ
หรือแนวคิดที่แปลกใหม่เป็นข้อมูลที่หาอ่านจากเอกสารทั่วไปไม่ได้
ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบบรรยาย
1.
เป็นการสอนที่เน้นเนื้อหาสาระที่นำเสนอโดยครูผู้สอน ผู้บรรยายจะเสนอปัญหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา
และสรุปด้วยว่าวิธีการใดเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตามหลักการ
2.
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลายๆแนวคิดก่อนที่จะสรุปเป็นข้อคิดหรือทางเลือกที่เหมาะสม
วัตถุประสงค์
1. เพื่อผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่มีจำนวนมากในเวลาที่จำกัด
2. เพื่อให้ความรู้ ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน
ซึ่งค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง
3. เพื่อช่วยนำทางในการศึกษาด้วยตนเอง
4. เพื่อช่วยสรุปประเด็นสำคัญ
องค์ประกอบสำคัญของการสอน
1. มีเนื้อหาสาระ หรือ
ข้อความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2. มีการบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย)
3.
มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจาการบรรยาย
ลักษณะสำคัญของการสอนแบบบรรยาย
1. ผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน โดยการบอก
เล่า หรืออธิบาย
2. ผู้เรียนเป็นฝ่ายฟัง
อาจมีการจดบันทึกสาระสำคัญในขณะฟังบรรยายและอาจมีโอกาสถาม หรือแสดงความคิดเห็นบ้าง
ถ้าผู้สอนเปิดโอกาส
3. มุ่งถ่ายทอดความรู้ และ/หรือ
มุ่งเร้าความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ขั้นตอนการสอน
เพื่อให้การสอนแบบบรรยายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้สอนควรมีการดำเนินการเป็น 3ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นบรรยาย
และขั้นสรุปและประเมิน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ขั้นเตรียม
การเตรียมการเป็นสิ่งสำคัญมาก
ถ้าผู้สอนเตรียมการไว้ดีก่อนสอนก็เท่ากับการสอนครั้งนั้นก็ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ในขั้นหนึ่งควรมีการวางแผนและเตรียมการสอนในสิ่งต่อไปนี้
1.1
พิจารณาและกำหนดจุดประสงค์ของการเรียนการสอนแต่ละครั้งให้ชัดเจน
1.2 ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน เกี่ยวกับความรู้
ความสามารถ
ความต้องการและความสนใจแล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาวางแผนการสอนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
1.3 ศึกษา
ค้นคว้าในเรื่องที่จะบรรยายให้กว้างขวาง จากตำรา วารสาร
แหล่งวิทยาการที่เชื่อถือได้ รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองมาผสมผสานกัน
1.4
พิจารณาเชื่อมโยงของพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นของผู้เรียนที่ต้องรู้มาก่อนการฟังบรรยาย
1.5 กำหนดเค้าโครง
จัดลำดับขั้นตอนของเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด
1.6 เตรียมภาษา
หรือคำอธิบายที่ใช้ในการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย
1.7 เตรียมหาสิ่งที่จะช่วยให้การบรรยายมีรสชาติ
เช่น เกร็ดความรู้ที่เกี่ยวข้อง การอุปมา อุปไมย ข้อมูลสถิติที่สำคัญ
ผลการวิจัยหรือการค้นพบใหม่ๆ ตัวอย่าง และคำถามต่างๆ ที่จะให้ประกอบการบรรยาย
1.8 เตรียมสื่อต่างๆ
ที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียนในการบรรยาย เช่น รูปภาพของจริง วีดิทัศน์
สไลด์ แผ่นโปร่งใส หรือการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์
1.9 วางแผนการจัดแบ่งเวลากับเนื้อหาให้พอดีกัน
1.10 ทดลองหรือซักซ้อมก่อนทำ
การสอนจริงเพื่อให้เกิดความมั่นใจและแก้ไขข้อบกพร่อง
1.11 เตรียมวิธีการประเมินผลที่จะใช้ เช่น
การสังเกต การใช้คำถาม การใช้แบบทดสอบซึ่งต้องเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า
1.12
ก่อนเวลาบรรยายควรตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ อุปกรณ์ สื่อต่างๆ
ว่าพร้อมจะใช้งานหรือไม่
2. ขั้นบรรยาย
ในการบรรยายให้มีประสิทธิภาพ
มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้สอนดังนี้
2.1 ทำตัวให้มีชีวิตชีวา
แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และความจริงจังของผู้สอน
2.2 ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้น ประหม่า
หรือเครียด ควรแสดงความเป็นกันเองยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้เรียน
2.3 พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ
โดยใช้เสียงที่ดังพอที่ทุกคนจะฟังได้ยินอย่างฟังชัดเจน มีความชัดถ้อยชัดคำ
ไม่เร็วหรือช้าเกินไป
มีการแปรเปลี่ยนน้ำเสียงและจังหวะในการพูดเพื่อเน้นจุดสำคัญเพื่อให้มีความน่าสนใจ
2.4 ใช้สายตามองผู้เรียนให้ทั่วขณะบรรยาย
เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญกับผู้เรียนและเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี
นอกจากนี้ยังเป็นการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่ายังมีความสนใจในการเรียนอยู่หรือไม่
ทั้งนี้จะต้องไม่มองเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ควรมองให้ทั่ว
2.5 ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการบรรยายเนื้อหาทันที
ควรเริ่มด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเข้ากับเรื่องที่จะสอนเสียก่อน
โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น การยกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง
การตั้งคำถามนำให้คิด เป็นต้น
2.6 ควรบอกเค้าโครงของเรื่องที่จะบรรยาย
และบอกจุดประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อน
2.7 ดำเนินการบรรยายตามลำดับเนื้อหาที่เตรียมการไว้
2.8 ควรหลีกเลี่ยงการบรรยายล้วนๆ
ควรมีการถามคำถามระหว่างการบรรยาย ซึ่งอาจเป็นคำถาม
ใน 2 ลักษณะ คือ
คำถามแบบที่ผู้สอนถามคำถามแล้วหยุดให้คิดชั่วขณะแล้วผู้สอนช่วยตอบปัญหานั้นเอง
และคำถามที่ผู้สอนถามและให้ผู้เรียนตอบ ซึ่งคำถามแบบหลังนี้นอกจากจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบแล้ว
คำตอบที่ได้รับจะเป็นข้อมูลย้อนกลับและเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย
2.9
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียน
2.10
ควรใช้เทคนิคการสอนกลุ่มย่อยและเทคนิคอื่นๆ เช่น การระดมความคิด(Brainstorming)
การอภิปรายกลุ่มย่อยที่เรียกว่า Buzz Group หรือการอภิปรายแบบหนึ่งต่อหนึ่งเป็นต้น
2.11 การใช้สื่อประกอบ เช่นใช้แผ่นใส ภาพ สไลด์
เทปเสียง วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2.12 การใช้การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนในเรื่องนั้น
3. ขั้นการปาฐกถา
ครูเป็นผู้บรรยายให้นักเรียนฟัง
นักเรียนฟังครูแล้วจดบันทึกเพื่อให้เป็นที่สนใจ
ครูควรใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนและมีการซักถามสลับไปด้วย
พร้อมทั้งแทรกสิ่งที่ขำขันเข้าไปด้วยเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน
4. ขั้นการติดตาม
เมื่อครูสอนจบบทเรียน ครูจะสรุปบทเรียนให้นักเรียนฟังเป็นข้อๆ
แล้วเขียนสาระสำคัญบนกระดานดำให้นักเรียนอ่านพร้อมกัน หรือ จดบันทึกเอาไว้
จากนั้นก็ให้มีการอภิปรายการซักถาม การสาธิต การลงมือปฏิบัติและการทำแบบฝึกหัด
เป็นต้น ในชั้นนี้เราดูถึงความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
5. ขั้นสรุปและประเมินผล
ในการบรรยายแต่ละครั้ง
ผู้สอนควรมีการสรุปสาระสำคัญของสิ่งที่ได้สอนหรือบรรยายไปโดยอาจนำเสนอบทสรุปในรูปของข้อความสั้นๆ
หรือการใช้ผังมโนทัศน์ (Concept Map) ของเรื่องนั้นก็ได้
นอกจากนี้ยังควรมีการประเมินผลการสอน
วิธีการในการบรรยายอาจแบ่งแยกได้เป็น 3
รูปแบบตามลักษณะของการเสนอเรื่องดังนี้
1. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการเน้นปัญหา
2. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการให้ข้อคิดเห็น
ผู้บรรยายจะเสนอข้อคิดหรือความคิดเห็นหลายๆ แนวทาง
3. การบรรยายในลักษณะที่เน้นการเสนอเนื้อหาความรู้
เป็นการบรรยายในชั้นเรียนทั่วไป
การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ก่อนยุติการบรรยายฯ
ผู้บรรยายควรสรุปสาระสำคัญของการบรรยายและควรเปิดโอกาสให้ผู้ซักถาม
หรือเปิดอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ต่อจากนั้นควรมีการทดสอบการเรียนในเรื่องที่บรรยายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น
การสุ่มถามผู้เรียน หรือการให้ทำแบบทดสอบ เป็นต้น
ข้อดีของการสอนแบบบรรยาย
1. ประหยัดเวลา
เพราะสามารถใช้กับผู้เรียนได้จำนวนมาก
2.
ผู้สอนสามารถนำความรู้ที่เป็นจุดเด่นจากตำราหลายๆ เล่มมาประมวล
บูรณาการไว้ด้วยกันในการบรรยาย
3. สำหรับเนื้อหายุ่งยากและซับซ้อน
ผู้เรียนได้ฟังบรรยายแล้วจะเข้าใจง่ายกว่าไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่า และอาจไม่เข้าใจ
4.
ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะจากผู้สอนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนดีขึ้น
5. ดำเนินการสอนได้รวดเร็ว
6. ผู้เรียนไม่ต้องทำงานมาก
รับรู้เรื่องราวได้โดยตรง
7. เหมาะสมกับเนื้อหาที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน
8. ฟังการบรรยายก็เข้าใจง่ายกว่าค้นหาเอง
ข้อจำกัดของการสอนแบบบรรยาย
1. ถ้าใช้บ่อยๆ โดยไม่พิจารณาความเหมาะสม
อาจทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย เพราะผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
2. ไม่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์
และสังเคราะห์ซึ่งเป็นความสามารถทางปัญญาชั้นสูง
3. ไม่ค่อยเกิดการพัฒนาด้านเจตคติและทักษะพิสัย
4. เป็นการสอนที่เน้นครูหรือผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
5.
ความรู้ที่ได้รับจากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจลืมง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ถาวร
6.
ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศด้วยวาทศิลป์ เพื่อมิให้ผู้ฟังสูญเสียความสนใจ
7.
ครูควรแสดงท่าทางประกอบการเคลื่อนไหวบ้างพอสมควรอย่าให้มากเกินไป
8.
ครูควรบรรยายจากข้อมูลไปหาข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทางด้านความคิดเป็นอย่างมาก
9. ควรมีการซักถามเด็กบ้างระหว่างที่บรรยายเช่น
ให้ช่วยออกความคิดเห็นต่างๆ เป็นต้น
10. เสียงดังชัดเจนมีการเน้นสูงต่ำเป็นจังหวะ
11. ใช้ภาษาและคำพูดง่ายๆ ให้เด็กฟังแล้วเข้าใจ
12.
ครูควรใช้รูปภาพหรือวัสดุอื่นประกอบคำอธิบาย
13.
เป็นวิธีการสอนผู้เรียนมีบทบาทน้อยจึงทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจในการบรรยาย
14. เป็นวิธีการสอนที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคล
สรุป:
การบรรยาย คือ
กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
โดยการเตรียมเนื้อหาสาระ แล้วบรรยาย คือ พูด บอก เล่า
อธิบายเนื้อหาสาระหรือสิ่งที่ต้องการสอนแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนซักถามแล้วประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการอย่างใด
อย่างหนึ่ง (ทิศนา แขมมณี, 2547, หน้า
13)
การบรรยายเป็นวิธีถ่ายทอดความรู้ที่ใช้กันมานานในการเรียนการสอนในระดับอุดม
ศึกษาเนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก สามารถสอนหรือบรรยายให้ผู้ฟังได้ทีละมากๆ
โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่ต้องการนำเสนอความรู้ครั้งละมากๆ
โดยใช้เวลาไม่มากนักจึงจัดเป็นวิธีสอนที่ประหยัดเวลาในการเรียนการสอนได้
เป็นอย่างดี วิธีนี้จะเหมาะสมมากหากผู้บรรยายมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์
มีความรู้ในเนื้อหานั้นเป็นพิเศษ และต้องการให้ผู้ฟังได้คำอธิบายขยายความ
หรือแนวคิดที่แปลกใหม่เป็นข้อมูลที่หาอ่านจากเอกสารทั่วไปไม่ได้
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่มีจำนวนมากในเวลาที่จำกัด
2.
เพื่อให้ความรู้ ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน
ซึ่งค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง
3.
เพื่อช่วยนำทางในการศึกษาด้วยตนเอง
4.
เพื่อช่วยสรุปประเด็นสำคัญ
องค์ประกอบสำคัญของการสอน
1.
มีเนื้อหาสาระ หรือ ข้อความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2.
มีการบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย)
3.
มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจาการบรรยาย
ขั้นตอนสำคัญของการสอน
1.
ผู้สอนเตรียมเนื้อหาสาระที่จะบรรยาย
1.1
กำหนดจุดประสงค์
1.2
ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน
1.3
เตรียมเนื้อหาสาระที่จะบรรยาย
1.4
กำหนดเค้าโครง จัดลำดับขั้นตอน
1.5
เตรียมเทคนิคการนำเสนอ
1.6
เตรียมสื่อ อุปกรณ์การสอน
1.7
เตรียมการวัดประเมินผล
2.
ผู้สอนบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย ) เนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2.1
ขั้นนำ
2.2
ซักถาม
2.3
นำเสนอสิ่งเร้าที่น่าสนใจ
2.4
ทดสอบก่อนเรียน
2.5
ขั้นอธิบาย
2.6
บอกเค้าโครงเรื่อง
2.7
อธิบายตามลำดับ
2.8
ใช้สายตา ใช้สื่อ ตัวอย่าง
2.9
ระดมสมอง อภิปราย คำถาม
2.10 ขั้นสรุป
2.11 เปิดโอกาให้ผู้เรียนซักถาม
2.12 ผู้สอนสรุปเอง
2.13 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุป
3.
ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
3.1
ทดสอบหลังจากการบรรยาย
3.2
มอบหมายงาน
3.3
ตรวจแบบฝึกหัด
ลักษณะสำคัญของการสอนแบบบรรยาย พอสรุปได้ดังนี้
1. ผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน
โดยการบอก เล่า หรืออธิบาย
2. ผู้เรียนเป็นฝ่ายฟัง
อาจมีการจดบันทึกสาระสำคัญในขณะฟังบรรยายและอาจมีโอกาสถาม หรือแสดงความคิดเห็นบ้าง
ถ้าผู้สอนเปิดโอกาส
3. มุ่งถ่ายทอดความรู้ และ/หรือ
มุ่งเร้าความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆในการใช้วิธีสอนโดยใช้การบรรยายให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อ
ให้การสอนแบบบรรยายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนควรมีการดำเนินการเป็น 3ขั้นตอน
ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นบรรยาย และขั้นสรุปและประเมิน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.
ขั้นเตรียมการเตรียมการบรรยาย การบรรยายที่ดีต้องอาศัยการเตรียมการที่ดี
ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาเนื้อหาสาระที่จะบรรยายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง หาก พบว่า
มีจุดใดที่ตนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง หรือหากมีข้อสงสัย ควรศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างก่อน
ต่อจากนั้นควรคัดเลือกว่าเนื้อหาสาระใดมีความจำเป็นหรือมีประโยชน์ต่อผู้
เรียนของตนเพียงใด เนื้อหาใดไม่จำเป็นอาจตัดออก ต่อไปควรจัดลำดับเนื้อหาสาระว่า
สิ่งใดควรพูดก่อน พูดหลัง และจะเชื่อมโยงกันอย่างไร
เนื้อหาสาระแต่ละส่วนมีส่วนใดที่ยังคลุมเครือ ซึ่งควรหาตัวอย่างประกอบหรือควรใช้สื่อใดช่วย
และควรแสวงหาเทคนิคในการนำเสนอสาระแต่ละส่วนให้น่าสนใจ ท้าทาย ความคิด
และเข้าใจได้ง่าย ซึ่งอาจจะเป็นการใช้คำถามกระตุ้น
หรือการเล่าประสบการณ์ที่แปลกใหม่ หรือนำเสนอปัญหาที่ท้าทายความคิดก่อนการบรรยาย
ผู้สอนควรจะมีโครงร่าง (Outline) สำหรับการบรรยาย
และมีเอกสารประกอบการบรยายแจกให้แก่ผู้เรียน
การ เตรียมการเป็นสิ่งสำคัญมาก
ถ้าผู้สอนเตรียมการไว้ดีก่อนสอนก็เท่ากับการสอนครั้งนั้นก็ประสบความสำเร็จ
ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในขั้นหนึ่งควรมีการวางแผนและเตรียมการสอนในสิ่งต่อไปนี้
1.1 พิจารณาและกำหนดจุดประสงค์ของการเรียนการสอนแต่ละครั้งให้ชัดเจน
1.2 ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน เกี่ยวกับความรู้
ความสามารถ
ความต้องการและความสนใจแล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาวางแผนการสอนให้เหมาะ
สมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
1.3 ศึกษา
ค้นคว้าในเรื่องที่จะบรรยายให้กว้างขวาง จากตำรา วารสาร
แหล่งวิทยาการที่เชื่อถือได้ รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองมาผสมผสานกัน
1.4
พิจารณาเชื่อมโยงของพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นของผู้เรียนที่ต้องรู้มาก่อนการฟังบรรยาย
1.5 กำหนดเค้าโครง
จัดลำดับขั้นตอนของเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด
1.6 เตรียมภาษา หรือคำอธิบายที่ใช้ในการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย
1.7 เตรียมหาสิ่งที่จะช่วยให้การบรรยายมีรสชาติ
เช่น เกร็ดความรู้ที่เกี่ยวข้อง การอุปมา อุปไมย ข้อมูลสถิติที่สำคัญ
ผลการวิจัยหรือการค้นพบใหม่ๆ ตัวอย่าง และคำถามต่างๆ ที่จะให้ประกอบการบรรยาย
1.8 เตรียมสื่อต่างๆ
ที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียนในการบรรยาย เช่น รูปภาพของจริง วีดิทัศน์
สไลด์ แผ่นโปร่งใส หรือการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์
1.9 วางแผนการจัดแบ่งเวลากับเนื้อหาให้พอดีกัน
1.10 ทดลองหรือซักซ้อมก่อนทำ
การสอนจริงเพื่อให้เกิดความมั่นใจและแก้ไขข้อบกพร่อง
1.11 เตรียมวิธีการประเมินผลที่จะใช้ เช่น
การสังเกต การใช้คำถาม การใช้แบบทดสอบซึ่งต้องเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า
1.12
ก่อนเวลาบรรยายควรตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ อุปกรณ์ สื่อต่างๆ
ว่าพร้อมจะใช้งานหรือไม่
2. ขั้นบรรยาย
ในการบรรยายให้มีประสิทธิภาพ
มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้สอนดังนี้
2.1 ทำตัวให้มีชีวิตชีวา
แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และความจริงจังของผู้สอน
2.2 ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้น ประหม่า
หรือเครียด ควรแสดงความเป็นกันเองยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้เรียน
2.3 พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ
โดยใช้เสียงที่ดังพอที่ทุกคนจะฟังได้ยินอย่างฟังชัดเจน มีความชัดถ้อยชัดคำ
ไม่เร็วหรือช้าเกินไป
มีการแปรเปลี่ยนน้ำเสียงและจังหวะในการพูดเพื่อเน้นจุดสำคัญเพื่อให้มีความ น่าสนใจ
2.4 ใช้สายตามองผู้เรียนให้ทั่วขณะบรรยาย
เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญกับผู้เรียนและเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี
นอกจากนี้ยังเป็นการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่ายังมีความสนใจในการเรียน
อยู่หรือไม่ ทั้งนี้จะต้องไม่มองเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ควรมองให้ทั่ว
2.5 ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการบรรยายเนื้อหาทันที
ควรเริ่มด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเข้ากับเรื่อง
ที่จะสอนเสียก่อน โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น
การยกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง การตั้งคำถามนำให้คิด เป็นต้น
2.6 ควรบอกเค้าโครงของเรื่องที่จะบรรยาย
และบอกจุดประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อน
2.7
ดำเนินการบรรยายตามลำดับเนื้อหาที่เตรียมการไว้
2.8 ควรหลีกเลี่ยงการบรรยายล้วนๆ
ควรมีการถามคำถามระหว่างการบรรยาย ซึ่งอาจเป็นคำถามใน 2 ลักษณะ คือ
คำถามแบบที่ผู้สอนถามคำถามแล้วหยุดให้คิดชั่วขณะแล้วผู้สอนช่วยตอบปัญหานั้น เอง
และคำถามที่ผู้สอนถามและให้ผู้เรียนตอบ
ซึ่งคำถามแบบหลังนี้นอกจากจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบแล้ว
คำตอบที่ได้รับจะเป็นข้อมูลย้อนกลับและเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย
2.9
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียน
2.10
ควรใช้เทคนิคการสอนกลุ่มย่อยและเทคนิคอื่นๆ เช่น การระดมความคิด(Brainstorming)
การอภิปรายกลุ่มย่อยที่เรียกว่า Buzz Group หรือการอภิปรายแบบหนึ่งต่อหนึ่งเป็นต้น
2.11 การใช้สื่อประกอบ เช่นใช้แผ่นใส ภาพ สไลด์
เทปเสียง วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2.12 การใช้การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนในเรื่องนั้น
3. ขั้นการปาฐกถา
ครู เป็นผู้บรรยายให้นักเรียนฟัง
นักเรียนฟังครูแล้วจดบันทึกเพื่อให้เป็นที่สนใจ
ครูควรใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนและมีการซักถามสลับไปด้วย พร้อมทั้งแทรกสิ่งที่ขำขันเข้าไปด้วยเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน
4. ขั้นการติดตาม
เมื่อ ครูสอนจบบทเรียน
ครูจะสรุปบทเรียนให้นักเรียนฟังเป็นข้อๆ
แล้วเขียนสาระสำคัญบนกระดานดำให้นักเรียนอ่านพร้อมกัน หรือ จดบันทึกเอาไว้
จากนั้นก็ให้มีการอภิปรายการซักถาม การสาธิต การลงมือปฏิบัติและการทำแบบฝึกหัด
เป็นต้น ในชั้นนี้เราดูถึงความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
5. ขั้นสรุปและประเมินผล
ในการบรรยายแต่ละครั้ง
ผู้สอนควรมีการสรุปสาระสำคัญของสิ่งที่ได้สอนหรือบรรยายไปโดยอาจนำเสนอบท
สรุปในรูปของข้อความสั้นๆ หรือการใช้ผังมโนทัศน์ (Concept Map) ของเรื่องนั้นก็ได้
นอกจากนี้ยังควรมีการประเมินผลการสอนโดยอาจดำเนินการดังนี้
3.1 ถามคำถามให้ผู้เรียนตอบระหว่างบรรยาย
หรือเมื่อบรรยายจบ
3.2 ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบ
3.3
ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติมซึ่งเป็นเรื่องของการนำความรู้ไปใช้
3.4 ให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอนของผู้สอนหลังจากจบการ
บรรยายแต่ละครั้งผู้สอนควรรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้เรียนมาใช้เป็นข้อมูล
ย้อนกลับเพื่อปรับปรุงการบรรยายครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
วิธีการในการบรรยายอาจแบ่งแยกได้เป็น 3
รูปแบบตามลักษณะของการเสนอเรื่องดังนี้
1.
การบรรยายที่เป็นลักษณะของการเน้นปัญหา
ผู้บรรยายจะเริ่มต้นด้วยการเสนอปัญหาแล้วแนะแนวทางหรือเสนอวิธีการแก้ปัญหาและปิดท้ายด้วยวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเป็นการสรุป
2. การบรรยายที่เป็นลักษณะของการให้ข้อคิดเห็น
ผู้บรรยายจะเสนอข้อคิดหรือความคิดเห็นหลายๆ แนวทาง
เพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นแล้วปิดท้ายด้วยวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเป็นการสรุปข้อคิดหรือความคิดเห็นและแนวทางที่เหมาะสม
3. การบรรยายในลักษณะที่เน้นการเสนอเนื้อหาความรู้
เป็นการบรรยายในชั้นเรียนทั่วไป
วิธีสอนแบบนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนระดับอุดมศึกษาหรือมัธยมศึกษาไม่เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับประถม
ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบบรรยาย1. เป็น
การสอนที่เน้นเนื้อหาสาระที่นำเสนอโดยครูผู้สอน
ผู้บรรยายจะเสนอปัญหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา
และสรุปด้วยว่าวิธีการใดเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตามหลักการ
2.
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลายๆแนวคิดก่อนที่จะสรุปเป็นข้อคิดหรือทางเลือกที่เหมาะสม
การอภิปรายซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ก่อนยุติการบรรยายฯ
ผู้บรรยายควรสรุปสาระสำคัญของการบรรยายและควรเปิดโอกาสให้ผู้ซักถาม
หรือเปิดอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ต่อจากนั้นควรมีการทดสอบการเรียนในเรื่องที่บรรยายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น
การสุ่มถามผู้เรียน หรือการให้ทำแบบทดสอบ เป็นต้น
สื่อการสอนสำหรับการเรียนการสอนแบบบรรยาย
ลักษณะ ของการเรียนการสอนแบบบรรยายนั้น
ผู้สอนจะเป็นศูนย์กลาง ความสำคัญจะอยู่ที่ผู้สอน
สื่อการสอนที่นำมาใช้จะมีลักษณะเป็นเครื่องช่วยสอน กล่าวคือ
สื่อการสอนที่นำมาใช้จะมีลักษณะไม่สมบูรณ์ในตนเอง ผู้สอนมีหน้าที่ในการทำให้สื่อการสอนนั้นสมบูรณ์ขึ้น
สื่อการสอนที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนแบบบรรยายควรมีลักษณะ
1.1
มีขนาดเหมาะสมกับห้องเรียน
1.2
ผู้เรียนสามารถมองเห็น หรือได้ยินชัดเจนทั่ว
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการสอนแบบบรรยาย1.
ถ้าต้องการแจกเอกสารประกอบการบรรยายเพื่อให้ผู้เรียนดูประกอบและขณะบรรยาย
ควรออกแบบเอกสารให้มีเฉพาะหัวข้อที่สำคัญ
และมีการเว้นที่ให้ผู้เรียนบันทึกเพิ่มเติม
แต่ถ้าเป็นเอกสารที่มีรายละเอียดค่อนข้างสมบูรณ์อาจแจกหลังการบรรยาย
หากผู้เรียนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการแจกแจงเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะบรรยาย หลังเรียนจบอาจทำให้ผู้เรียนไม่สนใจฟังเท่าใดนักเพราะคิดว่าจะได้ข้อมูลทั้ง
หมดภายหลังอยู่แล้ว
ในบางกรณีอาจแจกเอกสารประกอบการบรรยายให้ไปศึกษามาล่วงหน้าซึ่งก็เหมาะกับ
เนื้อหาที่มีความยากและซับซ้อน
2. ควรสำรวจบุคลิกโดยเฉพาะการแต่งกายของผู้สอนก่อนบรรยายเพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือ
น่าเลื่อมใส
3.
ควรสอดแทรกอารมณ์ขันในระหว่างการบรรยายจะช่วยให้บรรยากาศการเรียนการสอนมีความเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
4. ใช้กิริยาท่าทางที่เหมาะสมในการบรรยาย
5. ไม่ควรอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น ยืนอยู่จุดเดียว เดินกลับไปกลับมา
ขยับแว่นตาขยับกางเกง ดูนาฬิกา พูดคำบางคำที่ตนชอบบ่อยๆ
6. อย่าใช้คำศัพท์ที่ยากเกินระดับสติปัญญาของผู้เรียน
7. ไม่ควรบรรยายติดต่อกันเป็นเวลานาน
ควรบรรยายให้เหมาะสมกับช่วงความสนใจของผู้เรียน เช่น ในระดับมัธยมศึกษา
การบรรยายไม่ควรเกิน 20-30 นาที และในระดับอุดมศึกษาไม่ควรเกิน 45-60 นาที
8. ต้องเตรียมตัวในเนื้อหาที่จะบรรยายมาให้ดี มีความแม่นยำ
เพราะถ้าสอนผิดผู้เรียนอาจเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวผู้สอนได้
ข้อดีของการสอนแบบบรรยาย
1. ประหยัดเวลา
เพราะสามารถใช้กับผู้เรียนได้จำนวนมาก
2. ผู้สอนสามารถนำความรู้ที่เป็นจุดเด่นจากตำราหลายๆ
เล่มมาประมวล บูรณาการไว้ด้วยกันในการบรรยาย
3. สำหรับเนื้อหายุ่งยากและซับซ้อน
ผู้เรียนได้ฟังบรรยายแล้วจะเข้าใจง่ายกว่าไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่า และอาจไม่เข้าใจ
4. ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะจากผู้สอนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนดีขึ้น
5. ดำเนินการสอนได้รวดเร็ว
6. ผู้เรียนไม่ต้องทำงานมาก
รับรู้เรื่องราวได้โดยตรง
7. เหมาะสมกับเนื้อหาที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน
8. ฟังการบรรยายก็เข้าใจง่ายกว่าค้นหาเอง
ข้อจำกัดของการสอนแบบบรรยาย1. ถ้าใช้บ่อยๆ
โดยไม่พิจารณาความเหมาะสม อาจทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย
เพราะผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
2. ไม่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์
และสังเคราะห์ซึ่งเป็นความสามารถทางปัญญาชั้นสูง
3. ไม่ค่อยเกิดการพัฒนาด้านเจตคติและทักษะพิสัย
4. เป็นการสอนที่เน้นครูหรือผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
5.
ความรู้ที่ได้รับจากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจลืมง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ถาวร
6.
ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศด้วยวาทศิลป์ เพื่อมิให้ผู้ฟังสูญเสียความสนใจ
7.
ครูควรแสดงท่าทางประกอบการเคลื่อนไหวบ้างพอสมควรอย่าให้มากเกินไป
8.
ครูควรบรรยายจากข้อมูลไปหาข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทางด้านความคิดเป็นอย่างมาก
9. ควรมีการซักถามเด็กบ้างระหว่างที่บรรยายเช่น
ให้ช่วยออกความคิดเห็นต่างๆ เป็นต้น
10. เสียงดังชัดเจนมีการเน้นสูงต่ำเป็นจังหวะ
11. ใช้ภาษาและคำพูดง่ายๆ ให้เด็กฟังแล้วเข้าใจ
12.
ครูควรใช้รูปภาพหรือวัสดุอื่นประกอบคำอธิบาย
13. เป็นวิธีการสอนผู้เรียนมีบทบาทน้อยจึงทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจในการบรรยาย
14.
เป็นวิธีการสอนที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคล
โอกาสที่จะใช้การสอนแบบปาฐกถาได้เหมาะ คือ
1. ใช้สำหรับนำเข้าสู่บทเรียน
2. ใช้ในตอนสรุปบทเรียน
การ
บรรยายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นวิธีการที่ ปรับปรุงวิธีการสอนแบบบรรยายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกระดับชั้นเสมอมาให้
สอดคล้อง
กับจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยรักษาข้อดีและข้อจำกัด
ของวิธีการบรรยายในเรื่องการเตรียมเนื้อหาการบรรยายและการประเมินผล
ซึ่งผู้สอนต้องเตรียมในทุกขั้นให้ดีก่อนการปฏิบัติ
นอก
จากนี้ต้องให้ผู้เรียนรู้โครงสร้างรายวิชาตั้งแต่เริ่มต้นและย้ำเป็นระยะ
ตลอดเทอมอาจจักสาระเพิ่มโดยพิจารณาความสนใจและความสามารถของเด็ก
แต่สิ่งสำคัญต้องเตรียม syllabus อย่างละเอียดให้ผู้เรียนเปรียบเสมือนให้แผนที่เดินทางสู่จุดหมายการเรียนที่ตั้งไว้ติดตัวตลอดเส้นทางไม่หลงหรือเลือกทางเดินผิด
ขั้นต่อมาที่ต้องเตรียมงาน คือ
เตรียมเอกสารการบรรยาย เพื่อให้ได้เอกสารสื่อการเรียนรู้ได้ผลดี
จะต้องเตรียมการล่วงหน้าและระวังด้วยว่าอย่าเผลอจำหรืออ่านเนื้อหาสาระเหล่า
นั้นเหมือนละครอ่านบทเอกสารนี้ควรทดลองเสนอในหลายรูปแบบเช่นโครงสร้าง เนื้อหา Outline
แผนผังต้นไม้ Tree Diagram หรือสรุปจุดสำคัญ Major point เพื่อ
ช่วยให้เข้าใจสาระสำคัญได้ดีหากจำเป็นต้องแต่งเติมให้ชัดแจ้งก็ควรทำในส่วน
ของสูตรหรือหลักที่ต้องการอ้างถึงก็ต้องแยกแบ่งออกจากเนื้อหาออกมาต่างหาก
รวมทั้งตัวอย่างประกอบก็ควรแยกไว้เช่นกัน
อย่าลืมว่าเราใช้เอกสารเพื่อประกอบการบรรยายจึงต้องสอดคล้องกับการบรรยาย
หลักการ คือ เมื่อบรรยายให้ฟังชัดคำสั้น
ศัพท์ง่าย ประโยคตรง ชี้จุดและสรุปย้ำเนื้อหา
เอกสารก็ควรเสริมส่วนที่อาจขาดไปหรือเข้าใจยากนั่นเอง
การซ้อมบรรยายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้
เพื่อประเมินดูว่าเตรียมเนื้อหาไว้เหมาะหรือไม่ อาจลองดูสัก 1-2 ครั้ง
เพราะอาจมีปัญหา เช่น
เนื้อหานั้นมากเกินเวลาที่มีหรือจัดลำดับเรื่องไม่สอดคล้องกันจริงประเด็น
สุดท้ายหลังเตรียมเนื้อหาดีแล้ว คือ จะต้องจัดโครงสร้างการบรรยายตามเนื้อหาที่มี
โดยตัดสินใจว่าเราจะต้องบรรยายให้ยากหรือง่ายเพียงไร เขียนกำหนดแก่น (Theme)
ของ เนื้อหาและเหตุผลก่อนจะจัดกระบวนการบรรยายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า
เหตุทำให้เกิดผลอย่างไรโดยต้องกำหนดโครงสร้างการบรรยายให้เข้าใจเนื้อหาที่
สำคัญที่สุดให้ง่าย ๆ และจัดแบ่งการบรรยายเป็นช่วงละ 10-15 นาที
ทั้งนี้
ตามหลักจิตวิทยาช่วงความสนใจของผู้เรียนจะอยู่ระหว่าง 10-20 นาที
ในขณะที่คาบเรียนทั่วไปถูกกำหนด ไว้ 50 นาทีดังนั้นหากจัดการเวลาให้ได้ดี
การบรรยายจะไม่กลายเป็นการร่ายยาวและผู้เรียนจะยังสนใจอยู่ได้ทั้งคาบ
การ จัดโครงสร้างต้องไม่ละเลยข้อสำคัญ
ช่วงท้ายของการบรรยายคือ
ต้องจัดให้ผู้บรรยายมีเวลาตอบคำถามผู้ฟังเพื่อแก้ไขข้อข้องใจในเนื้อหาจน
กระจ่างหรือแนะแนวทางค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองต่อไปอีกนอกจากนี้ต้องเวลา
เพื่อสรุปเนื้อหา เชื่อมโยงจากต้นเรื่องที่เริ่มบรรยาย มาสู่ตอนจบด้วย
เมื่อมีทั้งเนื้อหาโครงสร้างการบรรยายพร้อมก็มาเตรียมการนำเสนอ ใน ขั้นนี้สิ่งสำคัญคือตัวผู้บรรยาย
จะต้องพร้อมเสนอเพื่อให้ผู้เรียนสนองตอบ
ผู้เรียนย่อมจะสนใจผู้บรรยายที่มีชื่อเสียง เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
หรือครูผู้สอนที่มีคุณวุฒิและบุคลิกภาพน่าสนใจ สะท้อนถึงความรู้ความสามารถน่าเชื่อถือ
ที่มา:
https://bankindy.wordpress.com.[ออนไลน์]เข้าถึงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561.
https://sixzoda.wordpress.com.[ออนไลน์]เข้าถึงเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561.
https://bankindy.wordpress.com.[ออนไลน์]เข้าถึงเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น